วันนี้ (13 มิ.ย.2565) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดีสะเทือนขวัญคนไทยในไต้หวัน หลังเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมสามี-ภรรยาชาวไทย และนำศพไปไว้ที่ท้ายรถ โดยผู้เสียชีวิตเป็นชายอายุ 32 ปี พร้อมภรรยาที่ตั้งครรภ์ฝาแฝดได้ 5 เดือนนั้น
พ่อของชายที่เสียชีวิต เล่าว่า ทราบเรื่องการเสียชีวิตของลูกชายเมื่อช่วงค่ำวันที่ 10 มิ.ย. โดยพี่สาวของภรรยาลูกชายโทรมาแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าพบศพของทั้ง 2 คน ถูกฆ่าทิ้งไว้ท้ายรถ BMW ในลานจอดรถหน้าสถานีรถไฟความเร็วสูงเถาหยวน คาดว่าทั้งคู่เสียชีวิตมาแล้วประมาณ 2 วัน โดยก่อนเสียชีวิตถูกทำร้ายร่างกาย และนำศพยัดใส่ท้ายรถมาจอดทิ้งไว้
พ่อของชายดังกล่าวเปิดเผยว่า ลูกชายทำงานที่ไต้หวันมาหลายปีจนได้ภรรยาเป็นสาวไทยสัญชาติไต้หวัน และจดทะเบียนอยู่กินด้วยกัน ต่อมาทั้งคู่ได้เปลี่ยนมาทำธุรกิจข้าวกล่องส่งให้แรงงานไทยตามโรงงาน และสั่งผลไม้กับล็อตเตอรีจากประเทศไทย ไปขายให้กับแรงงานไทย จนพอมีฐานะและส่งเงินกลับมาเลี้ยงดูทุกเดือน ก่อนจะถูกฆาตกรรม
ก่อนเสียชีวิต เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ได้โทรศัพท์ไปพูดคุยกับลูกชาย ซึ่งลูกชายบอกว่า วันที่ 15 มิ.ย.นี้ จะพาภรรยามาเมืองไทยเพื่อพักผ่อน และจะพาคนในครอบครัวไปเที่ยวทะเล หลังจากนั้นก็ไม่ได้คุยกันอีก กระทั่งทราบข่าวการเสียชีวิตของลูกชาย
พ่อของชายที่เสียชีวิต คาดว่า ผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นเพื่อนชาวไทยที่ทำงานด้วยกันในไต้หวัน หลังเกิดเหตุได้หายตัวไปและทราบว่าบินกลับมาประเทศไทยแล้ว ส่วนตัวและครอบครัวไม่รู้จักกับผู้ก่อเหตุ แต่เห็นภาพในเฟซบุ๊กเท่านั้น ขณะที่สาเหตุที่ฆ่ากันนั้นไม่ทราบแน่ชัด อาจเป็นเรื่องการแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัว แต่อย่างไรก็ตามต้องดูการสืบสวนของทางไต้หวันจึงจะชี้ชัดถึงสาเหตุได้
สำหรับการจัดการศพ ได้ขอให้พี่สาวภรรยาของลูกชายจัดการฌาปนกิจที่ไต้หวัน แล้วส่งกระดูกกลับมาให้บำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด เพราะไม่สามารถเดินทางไปรับศพได้ เนื่องจากปัญหาการระบาดของโควิด-19 พร้อมขอให้ทางการไทยเร่งติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุ
ตำรวจคาดมูลเหตุฆาตกรรมปมขัดแย้งธุรกิจ
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ผู้ก่อเหตุทำงานกับผู้เสียชีวิต โดยรับจ้างเป็นล่ามภาษาและยืมเงินลงทุนทำธุรกิจปล่อยเงินกู้ให้กับแรงงานไทยด้วย โดยเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา ทั้ง 3 คนนัดคุยธุรกิจเงินกู้ จากนั้นสามีภรรยาเงียบหายไปจนน่าสงสัย จากนั้นมีคนแจ้งตำรวจและแกะรอยรถยนต์จนพบร่างทั้งคู่ในจุดเกิดเหตุ
ไทยพีบีเอส ตรวจสอบล่าสุดกับกองการคดีต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่า ไทยได้รับการประสานจากทางการไต้หวันว่ามีชายที่คาดว่าจะเป็นผู้ก่อเหตุในคดี เดินทางกลับมาในประเทศ แต่ยังไม่ออกหมายจับ ทำให้ไทยทำได้เพียงการติดตามความเคลื่อนไหว หรือหากพบตัวก็ยังไม่ชัดว่าจะดำเนินการอย่างไร เนื่องจากไม่มีสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน
สำหรับคดีนี้ เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา ตำรวจจากสถานีตำรวจจงลี่ของไต้หวัน ได้รับรายงานแจ้งว่า มีกลิ่นเหม็นรุนแรงบริเวณลานจอดรถหน้าสถานีรถไฟความเร็วสูงเถาหยวน จากการตรวจสอบรถที่จอดอยู่คือ BMW X4 มีน้ำเหลืองไหลออกมา พบศพผู้เสียชีวิต 2 คน มีบาดแผลรุนแรงที่ศีรษะจากของแข็ง คาดว่าเสียชีวิตมาแล้ว 2 วัน และน่าจะเสียชีวิตจากที่อื่น ซึ่งหนึ่งในผู้เสียชีวิตกำลังตั้งครรภ์แฝดอายุ 5 เดือน และพบว่าทั้งคู่เป็นคนไทย แต่ได้รับสัญชาติที่ไต้หวัน
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. เวลา 22.15 นาที พบผู้เสียชีวิตหญิงปรากฏตัวที่เขตถู่เฉิน นครนิวไทเป และกล้องวงจรปิดบริเวณสถานีรถไฟความเร็วสูง พบรถคันดังกล่าวเข้ามาจอดในเวลาประมาณ 04.50 น. โดยชายคนหนึ่งซึ่งเป็นคนไทย สัญชาติไต้หวันเช่นกัน
Facebook fanpage "หนีห่าวไต้หวัน ฉันมาแล้ว Taiwantopics.com" ซึ่งเป็นหนึ่งในคนไทยที่มีครอบครัวที่ไต้หวัน เป็นพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์หนึ่งที่รายงานข่าวนี้ โดยแอดมินเพจให้ข้อมูลว่า คนไทยในไต้หวันค่อนข้างตกใจกับคดีนี้ ถือเป็นข่าวดังและสะเทือนขวัญ เพราะเกิดขึ้นไม่บ่อยและไม่ค่อยจะมีเหตุการณ์อุกอาจเกิดขึ้นกับคนท้อง หรือการซ่อนเร้นอำพรางศพลักษณะนี้
ผู้เสียชีวิตทั้ง 2 คนเป็นที่รู้จักในหมู่แรงงานไทย เนื่องจากเคยทำอาหารกล่องส่งให้กับแรงงานในโรงงาน โดยสื่อท้องถิ่นรายงานปมขัดแย้งทางธุรกิจ โดยอาจเกิดจากความไม่พอใจในฐานะหุ้นส่วน ได้รับเพียงค่าตอบแทนรายเดือนที่ได้จากการจัดหาแรงงาน ค่าแลกเปลี่ยนเงิน
"ไต้หวัน" โอกาสทางธุรกิจของคนไทย
แอดมินเพจ "หนีห่าวไต้หวัน ฉันมาแล้ว Taiwantopics.com" ให้ข้อมูลว่า ไต้หวันเป็นปลายทางของคนไทยจำนวนมากที่ต้องการมาทำงาน ทำให้มีหลายครั้งที่ได้ยินข่าวขบวนการหลอกลวงไปทำงานที่ไต้หวัน ยิ่งช่วงหลังจากผ่อนปรนมาตรการก็เริ่มมีแรงงานกลับเข้าไปมากกว่า 100 คนต่อเที่ยวบิน
บางส่วนอาจไปมีครอบครัว หรือถือบัตรพำนัก ทำธุรกิจร้านนวดไทย ร้านอาหารไทย ขายสินค้าจากไทย เป็นพ่อครัวไทย และทำงานเป็นแรงงานในโรงงาน หากมีเชื้อสายจีนก็จะเป็นอีกช่องทางให้สามารถยื่นขอสัญชาติได้ทันทีตามกฎหมาย ซึ่งเมื่อได้รับสัญชาติแล้วหลายคนก็เริ่มต้นทำธุรกิจ
ตามกฎหมายแล้ว คดีฆาตกรรมลักษณะนี้จะมีโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 10-20 ปี หรืออาจถึงขั้นประหารชีวิต ตามแต่ศาลจะพิจารณา โดยที่ผ่านมาพบว่าโทษหนักเบาในหลายๆ คดี ศาลจะพิจารณาจากเจตนาในการกระทำผิดเป็นหลัก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตร.พร้อมหาผู้ก่อเหตุหนีเข้าไทย หลังฆ่า 2 สามีภรรยาที่ไต้หวัน