ถอด"บทเรียนชาวบ้าน" ช่วย "ชาวบ้าน"น้ำท่วมพิษณุโลก เครือข่ายฯช่วยให้พ้นวิกฤต

23 พ.ย. 54
03:29
41
Logo Thai PBS
ถอด"บทเรียนชาวบ้าน" ช่วย "ชาวบ้าน"น้ำท่วมพิษณุโลก เครือข่ายฯช่วยให้พ้นวิกฤต

 

               

เมื่อเร็วๆ นี้ ที่โรงแรมไพลิน อ.เมือง จ.พิษณุโลก  ชาวบ้านหลายพื้นที่  นักวิชาการ นักพัฒนา เยาวชน และผู้มีส่วนร่วมในการช่วยกันรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ของจังหวัดพิษณุโลก ราว 100 คน ร่วมกันมาสัมมนา “บทเรียนการปรับตัวและช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติพิษณุโลก” จัดโดยมูลนิธิคนเพียงไพร ศูนย์เสริมสร้างองค์กรชาวบ้านเพื่อนฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม
                
                
นายสาคร สงมา ผู้ประสานงานมูลนิธิคนเพียงไพร กล่าวว่าในช่วงสิงหาคม – ตุลาคม พื้นที่จังหวัดพิษณุโลกได้ประสบอุทกภัยน้ำหลากเข้าและท่วมขังรุนแรงที่สุดในรอบ ๑๐ ปี   บางพื้นที่เป็นพื้นที่ไม่เคยท่วมจึงยากต่อการปรับตัวและช่วยเหลือตัวเอง  ภาคประชาชนในจังหวัดพิษณุโลก ทั้งผู้ประสบภัยพิบัติ ผู้ไม่ประสบภัยพิบัติ ได้สร้างบทบาทใหม่ในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการสนับสนุน ลงมือปฏิบัติ การปรับตัว และช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย บนฐานคิด “ชาวบ้านช่วยชาวบ้านผู้ประสบภัยพิบัติธรรมชาติ” การลำเลียงของ ขนส่ง การระดมของ การพัฒนากลไกในพื้นที่ การเชื่อมประสานภายในจังหวัด การเชื่อมต่อกับจังหวัดรอบข้าง และบางส่วนขยายวงสู่การช่วยเหลือศูนย์กลางประเทศไทย กรุงเทพฯ

   เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่ภาคประชาชนหลายส่วน เช่นนักพัฒนา   องค์กรชุมชน คนชั้นกลาง นักวิชาการ หมอ นักเคลื่อนไหว นักวิทยุสมัครเล่น รวมทั้งนักการเมืองรุ่นใหม่ ได้รวมตัวและมีบทบาทช่วยเหลือผู้ประสบภัยบนความถนัดของตัวเอง  บทเรียนการทำงานของภาคประชาชนจำเป็นต้องรวบรวมเป็นชุดประสบการณ์เพื่อเป็น “ต้นแบบ” ในการทำงานเรียนรู้เป็นแนวทางที่จะปรับตัวช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางธรรมชาติที่นับวันจะรุนแรงขึ้น

               นางแน่งน้อย   อัศวกิตติกร    ตัวแทนศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ภาคประชาชน (สนามบินพิษณุโลก) เล่าย้อนการทำงานร่วมกันครั้งนี้ว่า  เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมหนัก ได้ลงพื้นที่ อ.บางระกำ พบเห็นลำบากที่ความช่วยเหลือยังเข้าไปไม่ถึง พบข้อต้องปรับปรุงในการช่วยเหลือจากภาครัฐคือ การช่วยเหลือที่อิงกับทะเบียนบ้านทำให้คนที่ถือทะเบียนบ้านเท่านั้นที่จะได้รับ  ส่วนผู้ประสบภัยอื่นที่กระจัดกระจายกันไปจะไม่ได้รับของช่วยเหลือ  ก็เลยตัดสินใจช่วยเหลือร่วมกับภาคประชาชนที่ลงพื้นที่ไปและประสานกับท้องถิ่นเช่นองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก และส่วนกลางคือเว็บ Thaiflood ที่มาจากกรุงเทพ พร้อมกับทีม
     
“สิ่งที่ช่วยกันทำคือ หาของยังชีพที่สอดคล้อง เพราะถุงยังชีพที่ได้มาส่วนใหญ่จะคล้ายกันคือมาม่ากับปลากระป๋อง  แต่คนพื้นที่ที่อยู่กับน้ำและอยู่นานๆ เขาสามารถจับปลา ดักหนู จับงูยังชีพพอได้ แต่ที่ขาดคือน้ำพริก น้ำปลา กระเทียม  การมาช่วยของทีมที่หาซื้อของในจังหวัดนอกจากจะกระจายรายได้ ง่ายต่อการขนส่งเข้าไป ยังสอดคล้องกับความต้องการของคนในพื้นที่”

                 
นางแน่งน้อย เล่าว่า เมื่อน้ำเริ่มท่วมเข้าในกรุงเทพ และศปภ.ดอนเมืองเริ่มเปิดตัว มีความพยายามประสานงานให้เปิด ศปภ.ที่พิษณุโลก เนื่องจากพบว่ามีของบริจาคจากประชาชนกองเป็นจำนวนมากที่ดอนเมือง แต่ยังไม่กระจายออกไปให้ผู้เดือดร้อน  ทางนกแอร์และ Thaiflood จึงช่วยกันประสานหาของบริจาคเพื่อกระจายออก เลยขอใช้สนามบินพิษณุโลก  และในพื้นที่มีทีมสภาเด็กและเยาวชนมาช่วยกันในพื้นที่ ซึ่งจากการประสานจากเชิงข้อมูลทำให้ศูนย์พิษณุโลกได้ส่งต่อความช่วยเหลือไปยังพื้นที่อื่นๆ เช่นสุโขทัย  นครสวรรค์  และยังมีของบริจาคและความช่วยเหลือจากพื้นที่อื่นเข้ามาช่วยกันเช่นจากภูเก็ต เชียงใหม่  ซึ่งบทเรียนที่ได้เห็นความสำคัญว่าคนพิษณุโลกควรประสานกันเป็นเครือข่ายกันและกันไว้

          
นางนุชจารี      สว่างวรรณ   ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคประชาชน ( อ. บางระกำ)  กล่าวว่า ตนเองอยู่บางระกำ บ้านไม่เคยถูกน้ำท่วมแต่ในพื้นที่รอบข้างจะท่วมทุกปี  ส่วนตัวติดตามงานด้านผู้พิการ และพบว่าเมื่อเกิดภัยพิบัติ ผู้พิการจะเป็นกลุ่มท้ายๆ ที่คนไปช่วยเหลือและอยู่ได้ด้วยถุงยังชีพ ซึ่งแม้จะเข้าถึง แต่ก็ไม่เพียงพอ เลยร่วมกับ พอช.  ลำพมจ.จังหวัดพิษณุโลก  ลงพื้นที่ทั้ง 11 ตำบลของบางระกำและเก็บข้อมูลจุดที่ท่วมหนักที่สุดพบ 4 พื้นที่ 
  
ในการทำงานช่วยเหลือร่วมกับเจ้าหน้าที่ สิ่งที่พบคือในเหตุการณ์น้ำท่วมหนัก เจ้าหน้าที่ไม่พอ  การจะเก็บข้อมูลเลยร่วมกับ อสม. อพม.ในพื้นที่  เหตุผลของการทำข้อมูลเพิ่มเพื่อให้ความช่วยเหลือได้ทั่วถึง เพราะพบว่าครอบครัวในพื้นที่เป็นครอบครัวขยาย แต่ได้รับถุงยังชีพตามเอกสารเพียงถุงเดียวในแต่ละครอบครัว

   “เราคุยกันว่า ศูนย์จะทำหน้าที่ให้ถุงยังชีพในช่วงเริ่มต้น แต่ต่อไปคนพื้นที่ต้องช่วยเหลือตนเองให้ได้  ครั้งนี้อาจจะทำได้ไม่มาก แต่ต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์
ข้างหน้า เช่นการฝึกอาชีพระหว่างน้ำท่วม เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่ทำนา พอน้ำมาไม่มีรายได้ เลยมีโครงการฝึกอาชีพ จากนั้นมีการทำแผนฟื้นฟูซ่อมแซมบ้าน  กำลังจะปลูกต้นไม้ในหัวใจคน ประสานกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และป่าไม้ ให้ต้นกล้า ทำหลังน้ำลด  และการให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมประสาน  ซึ่งการประสานงานได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่านเช่นการตั้งโรงทาน  มีกำลังทหารจากกองทัพภาคที่ 3 มาช่วย  สิ่งที่พบคือการทำงานไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ งานต่างๆ จะต้องประสานงานให้ได้ “

   นางนุชจารีกล่าวด้วยว่า  การสำรวจข้อมูลจะมีผลต่อการกระจายความช่วยเหลือ ให้ถุงยังชีพ และมีความช่วยเหลือรูปแบบอื่น เช่นหากมีผู้เสียชีวิตในพื้นที่เดือดร้อนก็จะร่วมจัดงานศพ และสิ่งที่กำลังทำคือกระจายความช่วยเหลือไปพื้นที่อื่นเช่นที่  จ.พิจิตร  หลายพื้นที่ที่กรุงเทพ ที่มีการขนผักจากพิษณุโลกไปปรุงให้ เพราะหลายจุดที่ไปเห็นคือจะแต่กินมาม่า น้ำกรุงเทพดำและเหม็น ปัญหาน้ำกัดเท้าเยอะ ภาวะเครียดเยอะมาก บางคนออกบ้านมาแต่ตัว  
   
           
 นายสุทธิเวชย์   เอี่ยมเนตร   ศูนย์ชาวบ้านช่วยชาวบ้าน ต.จอมทอง  เล่าว่าเดิมที่น้ำเข้าจะคิดว่าเพียงแค่การท่วมนาเหมือนปี 2538 เพราะพื้นที่มีลักษณะเป็นท้องกระทะ คิดว่าคงไม่มากเท่าไหร่ เริ่มช่วยกันจัดการด้วยการอุดทางน้ำเข้าตามคลองน้ำทิ้ง เมื่ออุดไม่อยู่มาอุดแนวรอบพนัง แต่ก็ไม่รอด แจ้งให้ชาวบ้านเก็บของหาหนีน้ำ หลายส่วนไม่รู้จะเก็บไว้ที่ไหน เพราะเป็นบ้านชั้นเดียว  เลยหาเต้นท์มาอยู่ตามถนน แต่ต่อมาน้ำก็มาอีกอยู่ไม่ได้ ก็ต้องไปอาศัยอยู่ตามบ้านที่มีชั้น    เรื่องถุงยังชีพ ราชการจะแจ้งมายังอบต. แต่สภาพจริงเรามีประชากรแฝงทั้งคนอยู่กรุงเทพกลับมาบ้าง หลายครอบครัวแต่อยู่ในบ้านเดียวกันบ้าง  

 “น้ำที่เข้ามาท่วมช่วงแรก เป็นน้ำเน่าจากเขื่อนแควน้อย เข้ามาแล้วน้ำเป็นฟองเลย ปลาก็ตาย อยู่อาทิตย์กว่าน้ำจากน้ำน่านเข้ามาปน ที่เน่าก็ดีขึ้นบ้าง  เมื่อท่วมขังอยู่และเริ่มลด ก็เข้าไปดูสวนพบว่าที่ปลูกไว้ มะไฟตาย  มะพร้าวตาย ผลไม้ตายหมด  เพราะน้ำเน่าเข้ามาก่อนน้ำดี  ชาวบ้านไม่มีกิน หลังน้ำลดเลยเพาะกล้าผักและแบ่งกันปลูกยังชีพ  เพราะไม่มีอะไรเหลือ”

             
 นายสุทธิเวชย์กล่าวถึงการฟื้นฟูหลังจากนี้ว่า เมื่อชาวบ้านปลูกผักในระยะสั้นแล้วก็จะทำนา ซึ่งการทำนาก็จะต้องปรับตัวไปใช้ระดับเดิมคือการทำนาปี   แต่ตอนนี้คลองส่งน้ำพัง จะต้องซ่อมแซมกันเองก่อน การทำนาที่จะต้องปรับรอบให้ไวขึ้น  ซึ่งในเชิงนโยบายหากไม่จำกัดพันธุ์ข้าวจะเป็นเรื่องดี 
   ตัวแทนชาวบ้านจาก ต.ท่าช้าง เล่าว่าในตำบลมี 12 หมู่ น้ำท่วมไป 10 หมู่ ความเสียหายมากมาย นำนาต่อไม่ได้ คลองขาด ทุนซ่อมแซมไม่มี   ชาวบ้านเข้าออกลำบาก จะให้ซ่อมถนน เมื่อไม่ซ่อมมีเรื่องร้องเรียน  ชาวบ้านเครียดกันเรื่องการอุดน้ำท่วมหรือไม่ท่วมอยู่บ้าง  ส่วนการการบริหารจัดการถุงยังชีพ ล็อตแรกมีเข้ามาน้อยเพียง 15 ถุง แต่ต่อมาระบบก็ดีขึ้น

   ตัวแทนผู้ประสานงานกลุ่มประชาภิวัฒน์ กล่าวว่าได้มีส่วนช่วยเหลือในการประสานเรื่องถุงยังชีพ  และน้ำดื่ม ขณะที่กลุ่มเยาวชนจากสภาเด็กและเยาวชน จ.พิษณุโลก กล่าวว่าได้มาช่วยทำกับข้าว   ลงเรือดูพื้นที่  ไปที่สนามบินช่วยขนของแพ็ตของ และประสานเครือข่ายสภาเด็ก 17 จังหวัดภาคเหนือมารวมตัวกันที่พิษณุโลก    ซื้อของไปบริจาคที่นครสวรรค์  ไปช่วยที่โกรกพระ ความรู้สึกได้ช่วยสังคมคือ สนุก และมีความสุข
   ตัวแทนชาวบ้าน ต.บ้านดง บอกว่าอยู่บนเขา ไม่ประสบน้ำท่วมแต่ก็ได้ช่วยเหลือ โดยปั้นอีเอ็มบอล  24,000 ลูก  ทำน้ำยาเอกประสงค์มาช่วย

           

   นายอัมพร แก้วหนู  คณะทำงานบริหารสถานการณ์น้ำท่วมการปรับตัวและการช่วยเหลือผู้ประสบภัย  กล่าวถึงแนวทางการเชื่อมโยงการทำงานในอนาคตชาวบ้านช่วยชาวบ้านผู้ประสบภัยพิบัติธรรมชาติ จ.พิษณุโลก โดยชี้ให้เห็นความสำคัญของการทำความเข้าใจเรื่องภัยพิบัติว่าได้เกิดขึ้นทั่วโลก และงานฟื้นฟูเป็นงานประจำไปแล้ว  ช่วงเวลานี้ที่เหนือตอนล่างน้ำเริ่มแห้ง มีการฟื้นฟู แต่ที่ภาคใต้กำลังคุยกันเรื่องมรสุมจะเข้า และแม้เหนือบนกำลังจะหนาว แต่อีกไม่กี่เดือนราวเดือนเมษายนก็จะมีฝนมาอีก ดังนั้นการเตรียมการรับมือกับน้ำท่วมเป็นเรื่องที่ต้องตระหนัก
 
           
กรณีกรุงเทพเป็นเมืองใหญ่ ผู้คนมากมายนับ 10 ล้าน แต่กรุงเทพเป็นเมืองที่เกือบพึ่งตนเองไม่ได้ ผลิตอาหารไม่ได้ เมื่อท่วมใหญ่จึงเกิดผลกระทบมาก  แต่เครือข่ายที่มีประสบการณ์ด้านภัยพิบัติได้เข้ามาช่วยเหลือ เช่นมีเครือข่ายนครศรีธรรมราชมาช่วยที่กรุงเทพ
เครือข่ายสึนามิ  ไปช่วงบางบัวทอง เครือข่ายกองทุนนราธิวาสไปช่วยกรุงเทพ   เครือข่ายภาคเหนือตอนล่างไปช่วยอีกหลายจุด   ทั้งนี้เห็นว่า ความเป็นเครือข่ายเป็นทุนที่จะเอามาช่วยเหลือให้เป็นประโยชน์ในสถานการณ์นี้   

 “ภัยพิบัติที่เจอมาทำให้เราต้องหันมามองการพึ่งตนเอง ระดับตนเอง ระดับครอบครัว และระดับชุมชน   งานภัยพิบัติอย่าหวังจากที่ไกลเพราะขาดความเข้าใจในพื้นที่  ความต้องการในภัยพิบัติจะเปลี่ยนไปทุกชั่วโมง คนในชุมชนจะรู้ดีที่สุด”

            
นายอัมพรกล่าวว่ าถ้ามองการผันแปรของฤดูกาลจะพบว่าประเทศไทยตลอดปีจะอยู่กับภัยพิบัติตลอด มันเป็นวงจรภัยพิบัติ   ถ้าเห็นข้อเท็จจริง ต้องเตรียมตัวรับได้  ทำแผนที่ มีเบอร์โทร เตรียมการเรื่องน้ำกิน ระบบไฟฟ้าแต่ละตำบลต้องมีคณะทำงาน เรื่องภัยพิบัตโดยเฉพาะ  วางแผนในระยะเตรียมการก่อนฝนจะมา  ระยะเผชิญน้ำท่วม และระยะฟื้นฟู  แต่ละระยะต้องเตรียมการอย่างไร  ที่พักของตน สัตว์  รถ  การทำบ้านในพื้นที่เกิดน้ำท่วมบ้านไม่ควรเป็นชั่นเดียว ยกพื้นสูง ให้อบต.ออกข้อบัญญัติได้หรือไม่  บางที่ควรย้ายออกจากพื้นที่เสี่ยงต้องดำเนินการอย่างไร  และในพื้นที่น้ำทวมเป็นประจำ จะต้องเปลี่ยนระบบเกษตรหรือไม่ จะต้องคิดยาว เพราะไม่ใช่เรื่องชั่วคราว   ขณะการช่วยเหลือกัน เราจะตั้งกองทุนสวัสดิการเล็กๆ เพิ่มเติมเพื่อช่วยน้ำท่วม ส่วนกองทุนที่มีอยู่แล้ว เก็บเงินเพิ่มเติมเพ่อจัดการกับภัยพิบัติดีหรือไม่   

   นายอัมพร ย้ำว่า การสื่อสารในสถานการณ์ภัยพิบัติเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง  เครือข่ายภาคใต้มีการหาแนวทางติดต่อกันระหว่างต้นน้ำกับปลายน้ำ  ความเป็นเครือข่ายจะทำให้เราเตรียมตัวได้ ในหลายจังหวัดเกิดภาวะน้ำท่วมหนัก สื่อที่มีอยู่ในจังหวัดควรยกเลิกรายการปกติ และทำเรื่องนี้ เพราะหากอ่านรัฐธรรมนูญจะพบว่าคลื่นเป็นสมบัติของประชาชนและต้องใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ
 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง