กระดูกไม่ยืนยันตัวตน "บิลลี่" หลักฐานน้อย ปมไม่สั่งฟ้อง

อาชญากรรม
27 ม.ค. 63
11:58
1,476
Logo Thai PBS
กระดูกไม่ยืนยันตัวตน "บิลลี่" หลักฐานน้อย ปมไม่สั่งฟ้อง
อัยการสูงสุดแถลงเคลียร์ปมไม่สั่งฟ้อง "ชัยวัฒน์-พวก" รวม 4 คนในคดีฆาตกรรมบิลลี่ ระบุในชั้นนี้ยังไม่หลักฐานเพียงพอที่จะสั่งฟ้อง ย้ำกระดูกที่พบบ่งชี้สัมพันธ์แม่ลูก แต่ไม่ชี้ชัดอัตลักษณ์บุคคล ด้าน "มึนอ" เล็งหาหลักฐานยื่นฟ้องเอง

วันนี้ (27 ม.ค.2563) นายประยุทธ เพชรคุณ อัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญา 3 ในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงข่าวชี้แจงกรณีอัยการไม่สั่งฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พร้อมพวก ร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวทำร้าย และร่วมกันฆ่าอำพรางศพ นายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่

 

นายประยุทธ กล่าวว่า ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งสำนวนคดีอาญาให้กับสำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณา เป็นคดีระหว่าง น.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย กับพวก 2 คน ผู้กล่าวหานายชัยวัฒน์ ผู้ต้องหาที่ 1 นายบุญแทน บุษราคัม ผู้ต้องหาที่ 2 และนายธนเสฏฐ์ แซ่มเทศ หรือไพฑูรย์ ผู้ต้องหาที่ 3 และนายกฤษณพงศ์ จิตต์เทศ ผู้ต้องหาที่ 4 โดยกล่าวหาผู้ต้องหาที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ว่า

  • ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลึกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้
  • ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย
  • ร่วมกันโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือโดยขู่เข็ญว่จะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ หรือของบุคคลที่สามจนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น
  • ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืน โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดติดตัวไปด้วยเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
  • ร่วมกันโดยทุจริตหรือเพื่ออำพรางคดี กระทำการใด ๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
  • ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนเอง หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต
  • ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้ หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชนอื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น
  • ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และร่วมกันเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

และกล่าวหานายกฤษณพงศ์ ผู้ต้องหาที่ 4 ว่าร่วมกับผู้ต้องหาที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 กระทำความผิดตามข้อกล่าวหาที่ 1, 2, 3, 4 และ 5 และร่วมสนับสนุนผู้ต้องหาที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ว่ากระทำความผิดตามข้อหาที่ 6 ที่ 7 และ 8

 

 

สำนักงานอัยการสูงสุด ขอแจ้งผลคืบหน้าการพิจารณาสำนวนคดีนี้ดังนี้

1.เมื่อสำนักงานคดีพิเศษได้รับสำนวนดังกล่าวแล้ว นายฐาปนา ใจกลม อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ได้จ่ายสำนวนให้สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 พิจารณา และต่อมานายชวรัตน์ วงศ์ธนบูลย์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 เห็นว่าคดีนี้เป็นคดีสำคัญที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจติดตามคดีมาอย่างต่อเนื่อง จึงมีคำสั่งที่ 26/2562 ตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาสำนวนตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ.2547 ข้อ 53 ซึ่งคณะทำงานประกอบด้วย นายปกาศิต เหลืองทอง อัยการผู้เชี่ยวชาญ เป็นหัวหน้าคณะทำงาน โดยมีพ.ต.ท.เดชาชัย ณ ลำปาง อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด นายวรพงษ์ ทองแก้ว อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด และนายเชาวพันธ์ ช่วยชู อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นคณะทำงาน

 

2.คณะทำงานร่วมกันตรวจพิจารณาสำนวนแล้ว เห็นว่า สำหรับข้อหาที่ 8 (เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ) คณะทำงานพิจารณาแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานพอฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 จึงเห็นควรสั่งฟ้องนายชัยวัฒน์ นายบุญแทน และนายธนเสฏธ์ ในข้อหาร่วมกันเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือและร่วมกันเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2552 มาตรา 123/2 ,172 และเห็นควรสั่งฟ้องนายกฤษณพงษ์ ผู้ต้องหาที่ 44 ฐานเป็นผู้สนับสนุนผู้ต้องหาที่ 1 2 และ 3 ให้กระทำความผิดดังกล่าวข้างต้น

ดีเอสไอแถลงค้นพบกระดูกชิ้นสำคัญ เมื่อวันที่ 3 ก.ย.2562

ดีเอสไอแถลงค้นพบกระดูกชิ้นสำคัญ เมื่อวันที่ 3 ก.ย.2562

ดีเอสไอแถลงค้นพบกระดูกชิ้นสำคัญ เมื่อวันที่ 3 ก.ย.2562

3.สำหรับข้อกล่าวหาตามข้อกล่าวหาที่ 2 3 4 5 6 และ 7 คณะทำงานเห็นว่าทางคดีไม่มีประจักษ์พยานและพยานแวดล้อมใด ๆ เพียงพอที่จะเชื่อมโยงว่า ผู้ต้องหาทั้งสี่ได้ร่วมกันกระทำผิดในข้อหาทั้งหมดดังกล่าว จึงเห็นว่าทางคดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสี่ทุกข้อกล่าวหา

4.สำหรับข้อหาร่วมกันฆ่านายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ ตามข้อกล่าวหาที่ 1 คณะทำงานตรวจสำนวนโดยละเอียดแล้วเห็นว่าในชั้นนี้พยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสี่เช่นกัน โดยคณะทำงานเห็นว่า

แผนผังจำลองการตรวจพิสูจน์วัตถุพยานที่ค้นพบ

แผนผังจำลองการตรวจพิสูจน์วัตถุพยานที่ค้นพบ

แผนผังจำลองการตรวจพิสูจน์วัตถุพยานที่ค้นพบ

  • นายพอละจี ในชั้นแรกถูกกลุ่มผู้ต้องหาทั้งสี่ควบคุมตัวไปพร้อมน้ำผึ้ง และรถจักรยานยนต์ แต่ต่อมามีพยานบุคคลยืนยันว่าผู้ต้องหาทั้งสี่ได้ปล่อยตัวนายพอละจี หรือบิลลี่แล้ว โดยทางคดีได้ความอีกว่า ภรรยาและมารดาของนายพอละจีไปยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเพชรบุรี ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ต้องหาทั้งสี่ปล่อยตัวพอละจี เพราะเบ็นการควบคุมตัวโดยไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90 เมื่อศาลจังหวัดเพชรบุรีพิจารณาพยานหลักฐานทุกฝ่ายแล้วได้มีคำสั่งยกคำร้อง เพราะมีพยานเบิกความต่อศาลว่านายพอละจีได้รับการปล่อยตัวแล้ว ซึ่งภรรยาของนายพอละจีได้ยื่นอุทธรณ์และฎีกาคัดค้านคำสั่งของศาลจังหวัดเพชรบุรี แต่ทั้งชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาพิพากษายืน อันเป็นการชี้ขาดข้อเท็จจริงว่า ผู้ต้องหาทั้งสี่ได้ปล่อยตัวนายพอละจีไปแล้ว คดีเป็นที่สุด

และต่อมาพยานที่เคยเบิกความในคดีที่ศาลจังหวัดเพชรบุรีได้ให้การใหม่กับพนักงานสอบสวนของดีเอสไอตรงข้ามกับที่เคยเบิกความต่อศาล แต่พนักงานอัยการซึ่งเป็นคณะทำงานเห็นว่า คำเบิกความต่อศาลดังกล่าวเชื่อถือและมีน้ำหนักมากกว่า

 

วัตถุพยานที่ค้นพบในคดีบิลลี่

วัตถุพยานที่ค้นพบในคดีบิลลี่

วัตถุพยานที่ค้นพบในคดีบิลลี่

  • การตรวจพิสูจน์กระดูกซึ่งเป็นวัตถุพยานของกลางโดยวิธีไมโครควอเตรียม เป็นเพียงการตรวจเพื่อทราบถึงสื่อสัมพันธ์สายมารดาเท่านั้น โดยการตรวจวิธีนี้ไม่เพียงพอยืนยันตัวบุคคลที่ชี้ชัดได้ว่ากระดูกของกลางที่พบเป็นของบุคคลใด
  • สำนวนคดีไม่มีข้อเท็จจริงหรือประจักษ์พยานและพยานแวดล้อมใด ๆ เพียงพอที่จะเชื่อมโยงว่าผู้ต้องหาทั้งสี่เป็นผู้ร่วมกันฆ่านายพอละจี ที่ไหน เมื่อไหร่ และโดยวิธีใด ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้นล้วนเป็นสาระสำคัญที่อัยการต้องกล่าวบรรยายไว้ในการฟ้อง รวมทั้งสำนวนการสอบสวนไม่มีพยานหลักฐานว่านายพอละจียังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่

คณะทำงานจึงมีความเห็นว่า ในชั้นนี้สำนวนยังมีพยานหลักฐานไม่เพียงพอฟ้องผู้ต้องหา จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสี่ และได้เสนอสำนวนพร้อมความเห็นของคณะทำงานไปยังนายฐาปนา ใจกลม อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษตามระเบียบของสำนักงานอัยการสูงสุด และเมื่ออธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษพิจารณาแล้วได้มีความเห็นและคำสั่งตามที่คณะทำงานเสนอ

ขณะนี้สำนักงานคดีพิเศษได้ส่งสำนวนพร้อมคำสั่งไปยังอธิบดีดีเอสไอ เพื่อพิจารณาตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป หากมีความคืบหน้าคดีเป็นประการใด งานโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดจะแถลงให้ทราบต่อไป

“มึนอ” ไม่เคลียร์ปมสงสัย จ่อยื่นฟ้องเอง-มั่นใจนิติฯ

ภายหลังการแถลงข่าว น.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ หรือ มึนอ ภรรยาของบิลลี่ ที่เข้ารังฟังคำชี้แจงจากอัยการสูงสุด ได้ยื่นหนังสือที่เขียนด้วยลายมือตัวเอง นำมายื่นให้กับนายประยุทธ์ เพื่อขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด เพราะเชื่อมั่นในกระบวนการนิติวิทยาศาสตร์ และเชื่อในเหตุผลของการหายตัวไปของสามีว่าต้องมีเงื่อนงำอื่นแอบแฝง 

เข้าใจว่าอัยการยึดเอาเอาตามหลักฐานของการพิพพากษาชั้นต้นและยอมรับว่าเข้าใจยาก ถ้ายืนตามหลักฐานนั้น

เมื่อถามว่ายังติดใจสงสัยอะไรหรือไม่ น.ส.พิณนภา กล่าวว่า ยังติดใจสงสัยเรื่องการตรวจดีเอ็นเอ เพราะคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงจะไม่นำเอากระดูกไปลอยน้ำ เป็นความเชื่อ แต่ในครั้งนี้เมื่อตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์แล้ว เจอกระดูกแล้วพบว่ากระดูกตรงกับแม่ของบิลลี่

ความรู้สึกมันเป็นไปไม่ได้ ที่จะไม่ใช่บิลลี่ เพราะเราไม่เอากระดูกลอยน้ำ และคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงห้ามเอาไปลอย เป็นความเชื่อ จะเผาอย่างเดียว ในความรู้สึกส่วนตัวเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคนอื่น

เมื่อถามว่ามีพยานหรือคนอื่นที่เห็นบิลลี่ ตอนปล่อยตัวมีแต่คนพบบิลลี่ถูกควบคุมตัวที่ด่านมะเร็ว ด่านอุทยานฯ นอกจากนี้เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการจะมีการยื่นฟ้องด้วยตัวเองหรือไม่ น.ส.พิณนภา กล่าวว่า คิดๆอยู่ว่าถ้าไม่มีอะไรที่เป็นไปได้ ก็อาจจะฟ้องเอง และต้องไปคิดใหม่ หาพยานหลักฐานใหม่

คนหายไปมันเป็นไปไม่ได้ มันต้องมีเหตุผล

ทำบุญ "พาบิลลี่กลับบ้านบางกลอย"

ขณะที่วันพรุ่งนี้ (28 ม.ค.) ทางเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมเขตงานตะนาวศรี จัดงาน "พาบิลลี่กลับบ้านบางกลอย" โดยจัดพิธีทำบุญให้บิลลี่ และวงเสวนา "ความกังวลของชาวบ้านต่อการขึ้นทะเบียนกลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก 


อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

อัยการสั่งไม่ฟ้อง "ชัยวัฒน์-พวก” คดีฆาตกรรม "บิลลี่”

27 ม.ค.นี้ "อัยการ" เตรียมแถลงปมไม่สั่งฟ้องคดีบิลลี่

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง