นายมุสตาฟา โมฮัมเหม็ด นาจจาร์ รัฐมนตรีมหาดไทยอิหร่าน เปิดเผยว่า สามารถนับคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีอิหร่านได้ร้อยละ 36.6 แล้วเมื่อเวลาเที่ยงคืน ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับเวลา 14.30 นาทีตามเวลาประเทศไทย ซึ่งส่อเค้าได้ผู้นำคนใหม่ แทนนายมามูด อาห์มาดิเนจั๊ด ที่ไม่สามารถลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 3
ซึ่งผู้ที่ได้คะแนนนำ คือ นายฮัสซัน โรว์ฮานี ผู้สมัครสายกลางที่ชูนโยบายปฏิรูป และเป็นอดีตผู้เจรจาเรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่าน มีคะแนนร้อยละ 50 หรือเกือบ 17 ล้านคะแนน ตามมาด้วยนายกเทศมนตรีกรุงเตหะราน นายโมฮัมหมัด บาเคอร์ คาลีบาฟ ได้คะแนนร้อยละ 15.3
ส่วนนายโมห์เซน เรเซย อดีตผู้บังคับบัญชากองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามอิหร่าน ตามมาเป็นอันดับ 3 ด้วยคะแนนร้อยละ 12.6
และรั้งท้ายด้วยนายซาอีด จาลีลี หัวหน้าคณะผู้เจรจาปัญหานิวเคลียร์ ได้คะแนนร้อยละ 11.5 ซึ่งทั้ง 3 คนนี้ มาจากกลุ่มอนุรักษ์นิยม
ตามกฎหมายอิหร่าน ผู้สมัครที่ได้คะแนนเสียงร้อยละ 50 บวกกับอีก 1 คะแนน ไม่ต้องลงชิงชัยรอบ 2 อีก นายโรว์ฮานี จึงอาจไม่ต้องขับเคี่ยวกับผู้สมัครที่ได้คะแนนตามมาเป็นที่ 2 ในการเลือกตั้งรอบ 2 ในวันที่ 21 มิถุนายนนี้
นายโรว์ฮานี วัย 64 ปี เป็นผู้สมัครสายกลาง ที่ได้รับเสียงสนับสนุนจากอดีตประธานาธิบดีสายปฏิรูปถึง 2 คน คือนายอัคบาร์ ฮาเชมี รัฟซันจานี และนายโมฮัมหมัด คาตามี
เขาได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้นมาก หลังจากผู้สมัครสายกลางอีกคนหนึ่งถอนตัวไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อเปิดทางให้เขาชิงชัยกับผู้สมัครจากกลุ่มอนุรักษ์นิยม
นายโรว์ฮานี โดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางผู้สมัครอื่นๆ เนื่องจากชูนโยบายผูกสัมพันธ์กับประชาคมโลก และจะผลักดันให้ประเทศตะวันตก ผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านเพื่อตอบโต้นโยบายนิวเคลียร์ของอิหร่าน ทำให้อิหร่านต้องประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างรุนแรง และมีผู้ตกงานเพิ่มมากขึ้น
ขณะที่เขาดำรงตำแหน่งผู้เจรจาปัญหานิวเคลียร์กับชาติตะวันตก อิหร่านตกลงระงับการเสริมสมรรถภาพยูเรเนียมในปี 2546 และกลับมาเริ่มพัฒนาโครงการนิวเคลียร์อีกครั้ง เมื่อนายมามูด อาห์มาดิเนจั๊ด เป็นประธานาธิบดีในปี 2549ทำให้นักวิเคราะห์มองว่า นายโรว์ฮานี อาจเป็นประธานาธิบดีอิหร่านที่เปิดประเทศเข้าสู่ประชาคมโลกมากกว่าผู้นำคนก่อนที่มีแต่ความขัดแย้งกับชาติตะวันตก