นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยเตรียมแนวทางหาแหล่งเงินเพื่อชำระหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งหลักๆ จะเก็บเงินนำส่งของธนาคารพาณิชย์ เข้าสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งปัจจุบันจัดเก็บอยู่แล้วที่อัตราร้อยละ 0.4
โดยจะแบ่งเป็น 2 แนวทาง โดยแนวทางแรก คือ เก็บอัตรานำส่งคงที่ ร้อยละ 0.55-0.60 ต่อปี คิดจากจากฐานเงินฝาก 7.7 ล้านล้านบาท และตั๋วแลกเงิน หรือ บีอี อีก 2 ล้านล้านบาท รวมเป็น 9.7 ล้านล้านบาท คิดเป็นมูลค่าประมาณ 50,000 - 54,000 ล้านต่อปี ส่วนแนวทางที่ 2 คือ จะเก็บค่าธรรมเนียม ในอัตราขั้นบันได จากมากไปหาน้อยแต่ไม่เกินร้อยละ 0.60
ขณะที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในส่วนของตนเตรียมแนวทางไว้ 5 แนวทาง แต่ไม่ได้ให้รายละเอียด ซึ่งจะหารือกับผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน
ทั้งนี้ ต่อข้อกังวลของธนาคารพาณิชย์ที่เกรงว่าการจัดเก็บเงินนำส่งในอัตราที่เพิ่มขึ้น จะยิ่งเสียเปรียบธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ที่ขณะนี้ไม่ต้องส่งเงินสมทบเข้าสถาบันคุ้มครองเงินฝาก นายกิตติรัตน์ระบุว่าพร้อมที่จะแก้ไข กรณีที่เกิดความลักลั่นขึ้น
ผู้บริหารธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ 2 รายเห็นสอดคล้องกันว่าธนาคารมีภาระกิจรับใช้นโยบายของรัฐ ซึ่งถือเป็นต้นทุนการเงินอย่างหนึ่ง ซึ่งการที่ธนาคารพาณิชย์อ้างว่าเสียเปรียบในการแข่งขันนั้น ต้องเข้าใจว่าธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถออกมาตรการการเงินได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในช่วงที่วิกฤตเศรษฐกิจเปราะบาง ธนาคารของรัฐฯ ก็ต้องเข้ามารองรับนโยบายตามแนวทางรัฐบาล